ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Beloved Empress ฮองเฮาสุดที่รัก (นิยายแปล) ตอนที่ 2 : บุกตำหนักงานเลี้ยง

   ในพระราชวังตำหนักพิธีการ ในตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยความคึกคักรื่นเริงทั้งเสียงเพลงและความตื่นเต้นที่เต็มไปด้วยการร้องรำทำเพลงได้เกิดขึ้น ในขณะที่ฮองเต้จวินเชียนเช่อกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งมังกรทอง ผู้ที่เต็มไปด้วยความสงบนิ่งราวกับสายลมในยามเช้าอยู่ในตอนนี้ ดวงตาที่คมชัดของเขาราวกับคมดาบ เต็มไปด้วยความกระแจ้งใส่ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความมืดมิดและลึกลับอย่างเห็นได้ชัด

ในลักษณะที่ดูสงบนิ่งของเขา บวกกับความภาคภูมิใจความหยิ่งยโส และสีหน้าที่คล้ายกับน้ำแข็งพันปีนั้น เพียงแค่มองไปที่เขาครั้งเดียวก็ราวกับมีน้ำแข็งทิ่มแทงทะลุเข้ามาถึงหัวใจได้แล้ว ริมฝีปากบางร่างโค้งงดงาม ความน่ากลัวที่มากเหนือธรรมชาติ ถือเป็นบคคลิกทั่วไปเหมาะสมสำหรับการพิจารณาคดีของพระมหากษัตริย์ทั่วโลกแล้ว ทำให้ผู้คนขลาดกลัวที่จะจ้องมองไปที่เขาโดยตรง ให้ความรู้สึกเหมือนพวกเขาอยากจะก้มกราบแทบฝ่าเท้าของเขา แม้ร่างกายของเขาจะสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ เป็นผู้ชายประเภทที่สามารถจะได้หัวใจของหญิงสาวมาได้เพียงในวินาทีเท่านั้น

ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างกายของเขาก็คือผู้หญิงที่แต่งตัวในชุดสีขาว ราวกับดอกบัวที่กำลังเบ่งบาน ทั้งละเอียดอ่อนน่าทะนุถนอมและบริสุทธ์ มองก็รู้ว่านางจะต้องเป็นตัวเด่นของวันนี้อย่างแน่นอน คนที่พึ่งจะได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งเป็นถึงรองเพียงฮองเฮา สำหรับตำแหน่งกุ้ยเฟยจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก หยาง ซื่อหานนั่นเอง

จากนั้นเสียงประกาศก็ดังก้องขึ้น ฮองเฮาเป็นผู้นำขบวนนำหน้าเหล่านางสนมทั้งหลายเข้าไปในตำหนักพิธีการ ทันทีที่เหล่าขุนนาง และเสนาบดีมองเห็นคนที่เดินเข้ามาในงาน พวกเขาถึงกับพูดกับตัวเองขึ้น

“เหตุใดองค์ฮองเฮาถึงได้เสด็จมาที่นี่”

“เพราะฮองเฮาเป็นคนที่หึงหวงไม่มีเหตุผลและเอาแต่พระทัย ฝ่าบาทถึงได้แต่งตั้งกุ้ยเฟยขึ้นอย่างฉับพลันเช่นนี้ แล้วพระนางจะยอมปล่อยผ่านไปได้อย่างไรกัน ถึงได้มาสร้างปัญหาให้กับฝ่าบาทถึงที่นี่ไงเล่า”

เมื่อได้ยินคำซุบซิบเหล่านี้ โม่ฉีฉีก็คิดกับตัวเอง ดูเหมือนว่าเจ้าของร่างเก่าผู้นี้จะไปทำให้หลายๆ โกรธเคืองอยู่ไม่น้อยเลย ดูเหมือนว่าภาพลักษณ์ของมารดาของแผ่นดินได้จางหายไปจากสายตาของพวกเขานานแล้ว โม่ฉีฉีเดินตรงไปยังศูนย์กลางของห้องโถง จากนั้นก็คุกเข่าลงไปคำนับ

“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”


เหล่านางสนมที่ตามมาต่างทำตามอย่างเหมาะสม


ดาวงตาที่เยือกเย็นของจวินเชียนเช่อมองลงไปยังร่างที่กำลังคุกเข่าอยู่ของโม่ฉีฉี อย่างไม่มีใครคาดฝันพระองค์ทรงลุกขึ้นก่อนจะเดินลงไปด้วยรูปลักษณ์ที่สูงส่งกล้าหาญ เต็มไปด้วยความสง่างามผ่าเผย กลิ่นอายที่เต็มไปด้วยอำนาจสามารถกดขี่ผู้คนไม่ให้มองข้ามพระองค์ไปได้

แล้วจู่ๆ คู่ของรองเท้าปักลายมังกรสีดำก็มาปรากฏอยู่ต่อหน้าของโม่ฉีฉี เพียงแค่มองครั้งเดียวก็สามารถที่จะบ่งบอกถึงตัวตนของคนผู้นั่นได้แล้ว ไม่มีใครนอกเหนือจากฮองเต้ที่จะกล้าปักลายมังกรไว้บนเครื่องแต่งกายของเขา ในอดีตที่ผ่านมานางได้พบเห็นสิ่งดังกล่าวอยู่แต่ในสุสานเก่าแกเท่านั้น ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะได้เห็นตัวเป็นๆ เช่นนี้

 นิ้วมือหยกของโม่ฉีฉีดูเหมือนกำลังจะเอื้อมออกไปยังร้องเท้ามังกรที่มีความประณีตเป็นอย่างมาก พร้อมกับที่นางเดาะลิ้นสรรเสริญอยู่ในภายในใจ
ฝีมือดีเยี่ยมจริงๆ


สูงขึ้นไปอีกเล็กน้อยนางเหลือบมองเห็นเสื้อคลุมปักลายมังกรที่ทำจากผ้าไหมเนื้อดี ผ้าไหมเนื้อดีนี้เป็นสีเหลืองทั่งหมด ส่วนมังกรที่ได้รับการปักเย็บโดยการใช้ด้ายสีทองลงไปนั้น เป็นรูปแบบที่ถูกแยกออกจากกันใน 12 ส่วน แม้ว่ามันจะเป็นเครื่องแต่งกายที่ดูสบาย ๆ แต่มันก็เต็มไปด้วยความประณีตจนอยากจะบรรยาย มังกรดูราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมาจริงๆ มันถึงขนาดสามารถทำให้ผู้คนในยุคสมัยใหม่รู้สึกเสียใจ ที่ผลงานในปัจจุบันเป็นรองให้กับอดีตเช่นนี้


ตอนนี้ดูเหมือนว่ามือน้อยๆ ของโม่ฉีฉีกำลังรูปคล่ำอยู่ตรงหน้าอกของจวินเชียนเช่ออย่างไม่รู้ตัว จากนั้นนางก็แนบหน้าน้อยๆลงไปที่ลายปักมังกรเพื่อสัมผัสกับเนื้อผ้า นางรู้สึกติดอกติดใจกับมันจนยากจะถอนตัวได้ มันให้ความรู้สึกสบายมากเกินไปแล้ว


แต่สำหรับในสายตาของฝูงชน มันกลับดูเหมือนว่าฮองเฮากำลังแสดงความรักของพระนางออกมา เต็มไปด้วยความหิวกระหายอย่างไม่อาจยับยั้งชั่งใจ ดังนั้นพระนางจึงต้องมาเพื่อดึงดูความสนใจของฝ่าบาทเพื่อตอบสนองความหื่นกระหายของพระนางเอง เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างส่ายหัวแล้วถอนหายใจออกมาอย่างแรง น่าอัปยศอดสูเสียจริง พระนางไม่คู่ควรที่จะเป็นมารดาของแผ่นดินเลยด้วยซ้ำ


ใจกล้าหน้าด้านเกินไปแล้ว ช่างน่าอายยิ่งนัก


โม่ฉีฉียังคงแช่อยู่กับเสื้อผ้าที่หอมกรุ่นของฮองเต้อย่างต่อเรื่อง


    แล้วน้ำเสียงที่มืดมนก็ดังก้องมาจากข้างบนศีรษะนาง ลึกล้ำและเยือกเย็นเหมือนน้ำแข็งเก่าแก่นับพันปี


“เจ้าเหงาขนาดนี้เลยหรือ”


แล้วในทันทีมือน้อยๆ ของโม่ฉีฉีก็ถูกจับไว้แน่น เกือบจะทำให้นางต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแล้ว เมื่อน้ำเสียงน้ำแข็งของเขาดังเข้าไปในหูของนางมันทำให้เซลล์ในร่างกายของโม่ฉีฉี เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่นางจะเงยหน้าขึ้นอย่างระวัง นางก็ได้พบกับผู้คนระดับสูงตรงหน้า ช่างหน้าตาหล่อเหล่าเหลือเกินพี่ชาย ถ้าเปลี่ยนเขากับเหล่าดาราและเน็ตไอดอลทั้งหลายต่างก็เทียบกับความหล่อเหล่าของเขาไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลิ่นอายอันสูงส่งที่มีคุณภาพสูงจนไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้แม้แต่น้อย


แต่นี้...นี้ไม่ใช่จวินเชียนเช่อที่นางรู้จัก จวินเชียนเช่อที่นางรู้จักเขามีลักษณะของความเป็นสุภาพบุรุษผู้อบอุ่นและมีลักษณะนักวิชาการ น้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้มีความรุนแรงขนาดนี้ พระเจ้า! มันเกือบจะกลายเป็นเหตุการณ์ที่ผิดผลาดไปแล้วเชียว


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะไม่ใช่จวินเชียนเช่อที่นางรู้จัก แต่เขาก็ยังเป็นผู้ชายไร้หัวใจและสวะยิ่งกว่าจวินเชียนเช่อที่นางรู้จักเสียอีก ดูเอาจากการที่เจ้าของร่างกายเก่านี้ที่ต้องตายอย่างอนาถ เขากลับเฝ้ามองภรรยาของเขาวิ่งเข้าไปสู่ความตายอย่างเลือดเย็น ในขณะที่เขาเลือกที่จะช่วยชีวิตคนรักของตัวเองเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงทั้งร้ายกาจและโหดเหี้ยม มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่จะมีนิสัยแบบนี้ได้ ฮ่องเต้ผู้โหดเหี้ยม นั่นคือสิ่งแรกที่พวกสวะมี คือความโหดเหี้ยม ในตอนนี้ดูเหมือนว่าความประทับใจของนางที่มีต่อเขานั้นกำลังดิ่งลงเหวเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งชื่อก็กลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจไปเสียแล้ว มันจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้ชายที่มีชื่อแบบนี้จะเป็นสวะกันทั้งนั้น


    จากนั้นนางก็ก้มหัวของนางตำลง แล้วดึงมือน้อยของนางกลับมาจากการกำแน่นของเขา และคุกเข่าลงไปที่บนพื้นอีกครั้ง ความไม่พอใจในดวงตาของนางถูกซ่อนได้อย่างไร้ร่องรอย ก่อนจะใช้มือซ้ายของนางเอื้อมไปตบมือขวาที่ไม่เชื่อฟังตั้งแต่แรก ที่ไปลูบคลำไอ้สารเลวนั่นเข้า แอบด่านิสัยเก่าที่ไม่ดีของตัวเองอยู่ในใจ


    โม่ฉีฉีเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าของชายน้ำแข็งอีกครั้ง ก่อนจะหัวเราะแล้วพูดขึ้น


    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ทูลฝ่าบาท นี้เป็นโรคจากการประกอบอาชีพของหม่อมฉัน โปรดอภัยให้ด้วยเพคะ”โม่ฉีฉีเป็นนักโบราณคดีตอนที่อยู่ที่บ้านเก่า ส่วนใหญ่จะใช้เวลาตลอดทั้งวันอยู่ในสุสานโบราณ เพื่อขุดของเก่าขึ้นมามันทำให้เลือดของนางเดือดเต็มด้วยความตื่นเต้นทุกครั้ง ตอนนี้มีของแท้อยู่ต่อหน้าต่อดวงตาของนาง แล้วอย่างนี้โม่ฉีฉีจะสามารถกลั้นแรงกระตุ้นที่จะตรวจสอบพวกมันได้อย่างไรกัน


    “เรามองเห็นในความบ้าของเจ้า แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่”เสียงน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจดังขึ้น ทำให้ทุกคนหวาดกลัวจนแทบไม่กล้าที่จะหายใจแรง

    โม่ฉีฉีรีบรีบแสดงออกด้วยความนุ่มนวลพร้อมกับความสง่างามในทันที


    “ทูลฝ่าบาท วันนี้ถือว่าเป็นวันดีของฝ่าบาท หม่อมฉันจึงเป็นผู้นำน้องหญิงทั้งหลายเพื่อมาแสดงความยินดีต่อฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันของแสดงความยินดีต่อฝ่าบาทเพคะ ขอให้ฝ่าบาทเต็มไปด้วยความสุขสมรื่นเริงเพคะ”ลักษณะของนางเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน ทำให้เหล่านางสนมทั้งหลายต่างเต็มไปด้วยความตกตะลึงจ้องมองไปที่นางอย่างว่างเปล่าอยู่ในตอนนี้


     จวินเชียนเช่อเองก็ไม่ได้คาดคิดในสิ่งนี้ ก่อนที่เขาจะมองเข้าไปในดวงตาของนางในขณะที่เขาถามขึ้นอย่างเย็นชา


     “เจ้ามาแสดงความยินดีอย่างนั้นหรือ”


     แล้วโม่ฉีฉีก็พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่ดูจริงใจเหลือเกิน


     “ใช่แล้วเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันมาเพื่อแสดงความยินดีด้วยความบริสุทธิ์ใจเพคะ มาขออวยพรให้ฝ่าบาทและน้องหญิงหยาง ซื่อหวนมีความรักที่ยื่นยาว ขอให้อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ขอให้รักใคร่สามัคคี และขอให้มีทายาทในเร็ว....” 


      “ดี เช่นนั้นก็ลุกขึ้นเถิด”จวินเชียนเช่อขัดจังหวะนาง ด้วยค่อนข้างหงุดหงิด


      “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”ขัดจังจังะในขณะที่คนอื่นพูดช่างไม่มีมารยาทจริงๆ โม่ฉีฉีคิด


      ปันเซียงรีบกำลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยพยุงเจ้านายของตัวเองให้ลุกขึ้น


      “แคร๊ง”เสียงที่ดังขึ้นทำให้ทุกคนในห้องโถงต่างตกใจไปตามๆ กัน จากหนึ่งเป็นสองอย่างต่อเนื่องสายตาของพวกเขาต่างมองไปยังกริชที่ตกอยู่บนพื้นในตอนนี้ 


      เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้เหล่านางสนมทั้งหลายต่างก็ยิ้มอย่างอิ่มเอม


      โม่ฉีฉีแทบอยากจะตบกะโหลกตัวเอง นี่นางลืมไปได้อย่างไรกัน นางลืมกริชที่อยู่ในแขนเสื้อของตัวเองได้อย่างไร การนำอาวุธมีคมเข้ามาพบกับฮ่องเต้เช่นนี้ และต่อหน้าต่อตาเหล่าขุนนางทั้งหลายอีกด้วย นั่นถือว่าเป็นการเชิญชวนให้ตายมาถึงตัวเสียแล้ว ตอนนี้สมองของนางกำลังทำงานด้วยความเร็วอย่างเต็มพิกัด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น