ในพระราชวังตำหนักพิธีการ ในตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยความคึกคักรื่นเริงทั้งเสียงเพลงและความตื่นเต้นที่เต็มไปด้วยการร้องรำทำเพลงได้เกิดขึ้น
ในขณะที่ฮองเต้จวินเชียนเช่อกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งมังกรทอง ผู้ที่เต็มไปด้วยความสงบนิ่งราวกับสายลมในยามเช้าอยู่ในตอนนี้
ดวงตาที่คมชัดของเขาราวกับคมดาบ เต็มไปด้วยความกระแจ้งใส่
แต่ก็แฝงไว้ด้วยความมืดมิดและลึกลับอย่างเห็นได้ชัด
ในลักษณะที่ดูสงบนิ่งของเขา
บวกกับความภาคภูมิใจความหยิ่งยโส และสีหน้าที่คล้ายกับน้ำแข็งพันปีนั้น เพียงแค่มองไปที่เขาครั้งเดียวก็ราวกับมีน้ำแข็งทิ่มแทงทะลุเข้ามาถึงหัวใจได้แล้ว
ริมฝีปากบางร่างโค้งงดงาม ความน่ากลัวที่มากเหนือธรรมชาติ ถือเป็นบคคลิกทั่วไปเหมาะสมสำหรับการพิจารณาคดีของพระมหากษัตริย์ทั่วโลกแล้ว
ทำให้ผู้คนขลาดกลัวที่จะจ้องมองไปที่เขาโดยตรง
ให้ความรู้สึกเหมือนพวกเขาอยากจะก้มกราบแทบฝ่าเท้าของเขา แม้ร่างกายของเขาจะสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ
เป็นผู้ชายประเภทที่สามารถจะได้หัวใจของหญิงสาวมาได้เพียงในวินาทีเท่านั้น
ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างกายของเขาก็คือผู้หญิงที่แต่งตัวในชุดสีขาว
ราวกับดอกบัวที่กำลังเบ่งบาน ทั้งละเอียดอ่อนน่าทะนุถนอมและบริสุทธ์
มองก็รู้ว่านางจะต้องเป็นตัวเด่นของวันนี้อย่างแน่นอน
คนที่พึ่งจะได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งเป็นถึงรองเพียงฮองเฮา สำหรับตำแหน่งกุ้ยเฟยจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก
หยาง ซื่อหานนั่นเอง
จากนั้นเสียงประกาศก็ดังก้องขึ้น
ฮองเฮาเป็นผู้นำขบวนนำหน้าเหล่านางสนมทั้งหลายเข้าไปในตำหนักพิธีการ ทันทีที่เหล่าขุนนาง
และเสนาบดีมองเห็นคนที่เดินเข้ามาในงาน พวกเขาถึงกับพูดกับตัวเองขึ้น
“เหตุใดองค์ฮองเฮาถึงได้เสด็จมาที่นี่”
“เพราะฮองเฮาเป็นคนที่หึงหวงไม่มีเหตุผลและเอาแต่พระทัย
ฝ่าบาทถึงได้แต่งตั้งกุ้ยเฟยขึ้นอย่างฉับพลันเช่นนี้ แล้วพระนางจะยอมปล่อยผ่านไปได้อย่างไรกัน
ถึงได้มาสร้างปัญหาให้กับฝ่าบาทถึงที่นี่ไงเล่า”
เมื่อได้ยินคำซุบซิบเหล่านี้ โม่ฉีฉีก็คิดกับตัวเอง
ดูเหมือนว่าเจ้าของร่างเก่าผู้นี้จะไปทำให้หลายๆ โกรธเคืองอยู่ไม่น้อยเลย ดูเหมือนว่าภาพลักษณ์ของมารดาของแผ่นดินได้จางหายไปจากสายตาของพวกเขานานแล้ว
โม่ฉีฉีเดินตรงไปยังศูนย์กลางของห้องโถง จากนั้นก็คุกเข่าลงไปคำนับ
“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
เหล่านางสนมที่ตามมาต่างทำตามอย่างเหมาะสม
ดาวงตาที่เยือกเย็นของจวินเชียนเช่อมองลงไปยังร่างที่กำลังคุกเข่าอยู่ของโม่ฉีฉี
อย่างไม่มีใครคาดฝันพระองค์ทรงลุกขึ้นก่อนจะเดินลงไปด้วยรูปลักษณ์ที่สูงส่งกล้าหาญ
เต็มไปด้วยความสง่างามผ่าเผย
กลิ่นอายที่เต็มไปด้วยอำนาจสามารถกดขี่ผู้คนไม่ให้มองข้ามพระองค์ไปได้
แล้วจู่ๆ คู่ของรองเท้าปักลายมังกรสีดำก็มาปรากฏอยู่ต่อหน้าของโม่ฉีฉี
เพียงแค่มองครั้งเดียวก็สามารถที่จะบ่งบอกถึงตัวตนของคนผู้นั่นได้แล้ว
ไม่มีใครนอกเหนือจากฮองเต้ที่จะกล้าปักลายมังกรไว้บนเครื่องแต่งกายของเขา
ในอดีตที่ผ่านมานางได้พบเห็นสิ่งดังกล่าวอยู่แต่ในสุสานเก่าแกเท่านั้น
ไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะได้เห็นตัวเป็นๆ เช่นนี้
นิ้วมือหยกของโม่ฉีฉีดูเหมือนกำลังจะเอื้อมออกไปยังร้องเท้ามังกรที่มีความประณีตเป็นอย่างมาก
พร้อมกับที่นางเดาะลิ้นสรรเสริญอยู่ในภายในใจ
ฝีมือดีเยี่ยมจริงๆ
สูงขึ้นไปอีกเล็กน้อยนางเหลือบมองเห็นเสื้อคลุมปักลายมังกรที่ทำจากผ้าไหมเนื้อดี
ผ้าไหมเนื้อดีนี้เป็นสีเหลืองทั่งหมด ส่วนมังกรที่ได้รับการปักเย็บโดยการใช้ด้ายสีทองลงไปนั้น
เป็นรูปแบบที่ถูกแยกออกจากกันใน 12 ส่วน แม้ว่ามันจะเป็นเครื่องแต่งกายที่ดูสบาย ๆ
แต่มันก็เต็มไปด้วยความประณีตจนอยากจะบรรยาย มังกรดูราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมาจริงๆ
มันถึงขนาดสามารถทำให้ผู้คนในยุคสมัยใหม่รู้สึกเสียใจ
ที่ผลงานในปัจจุบันเป็นรองให้กับอดีตเช่นนี้
ตอนนี้ดูเหมือนว่ามือน้อยๆ ของโม่ฉีฉีกำลังรูปคล่ำอยู่ตรงหน้าอกของจวินเชียนเช่ออย่างไม่รู้ตัว
จากนั้นนางก็แนบหน้าน้อยๆลงไปที่ลายปักมังกรเพื่อสัมผัสกับเนื้อผ้า
นางรู้สึกติดอกติดใจกับมันจนยากจะถอนตัวได้ มันให้ความรู้สึกสบายมากเกินไปแล้ว
แต่สำหรับในสายตาของฝูงชน
มันกลับดูเหมือนว่าฮองเฮากำลังแสดงความรักของพระนางออกมา
เต็มไปด้วยความหิวกระหายอย่างไม่อาจยับยั้งชั่งใจ ดังนั้นพระนางจึงต้องมาเพื่อดึงดูความสนใจของฝ่าบาทเพื่อตอบสนองความหื่นกระหายของพระนางเอง
เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างส่ายหัวแล้วถอนหายใจออกมาอย่างแรง น่าอัปยศอดสูเสียจริง
พระนางไม่คู่ควรที่จะเป็นมารดาของแผ่นดินเลยด้วยซ้ำ
ใจกล้าหน้าด้านเกินไปแล้ว
ช่างน่าอายยิ่งนัก
โม่ฉีฉียังคงแช่อยู่กับเสื้อผ้าที่หอมกรุ่นของฮองเต้อย่างต่อเรื่อง
แล้วน้ำเสียงที่มืดมนก็ดังก้องมาจากข้างบนศีรษะนาง
ลึกล้ำและเยือกเย็นเหมือนน้ำแข็งเก่าแก่นับพันปี
“เจ้าเหงาขนาดนี้เลยหรือ”
แล้วในทันทีมือน้อยๆ ของโม่ฉีฉีก็ถูกจับไว้แน่น
เกือบจะทำให้นางต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแล้ว เมื่อน้ำเสียงน้ำแข็งของเขาดังเข้าไปในหูของนางมันทำให้เซลล์ในร่างกายของโม่ฉีฉี
เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่นางจะเงยหน้าขึ้นอย่างระวัง
นางก็ได้พบกับผู้คนระดับสูงตรงหน้า ช่างหน้าตาหล่อเหล่าเหลือเกินพี่ชาย
ถ้าเปลี่ยนเขากับเหล่าดาราและเน็ตไอดอลทั้งหลายต่างก็เทียบกับความหล่อเหล่าของเขาไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลิ่นอายอันสูงส่งที่มีคุณภาพสูงจนไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้แม้แต่น้อย
แต่นี้...นี้ไม่ใช่จวินเชียนเช่อที่นางรู้จัก
จวินเชียนเช่อที่นางรู้จักเขามีลักษณะของความเป็นสุภาพบุรุษผู้อบอุ่นและมีลักษณะนักวิชาการ
น้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้มีความรุนแรงขนาดนี้ พระเจ้า! มันเกือบจะกลายเป็นเหตุการณ์ที่ผิดผลาดไปแล้วเชียว
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะไม่ใช่จวินเชียนเช่อที่นางรู้จัก
แต่เขาก็ยังเป็นผู้ชายไร้หัวใจและสวะยิ่งกว่าจวินเชียนเช่อที่นางรู้จักเสียอีก
ดูเอาจากการที่เจ้าของร่างกายเก่านี้ที่ต้องตายอย่างอนาถ
เขากลับเฝ้ามองภรรยาของเขาวิ่งเข้าไปสู่ความตายอย่างเลือดเย็น ในขณะที่เขาเลือกที่จะช่วยชีวิตคนรักของตัวเองเอาไว้
ดังนั้นเขาจึงทั้งร้ายกาจและโหดเหี้ยม
มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่จะมีนิสัยแบบนี้ได้ ฮ่องเต้ผู้โหดเหี้ยม นั่นคือสิ่งแรกที่พวกสวะมี
คือความโหดเหี้ยม ในตอนนี้ดูเหมือนว่าความประทับใจของนางที่มีต่อเขานั้นกำลังดิ่งลงเหวเป็นอย่างมาก
แม้กระทั่งชื่อก็กลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจไปเสียแล้ว
มันจะเป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้ชายที่มีชื่อแบบนี้จะเป็นสวะกันทั้งนั้น
จากนั้นนางก็ก้มหัวของนางตำลง
แล้วดึงมือน้อยของนางกลับมาจากการกำแน่นของเขา และคุกเข่าลงไปที่บนพื้นอีกครั้ง ความไม่พอใจในดวงตาของนางถูกซ่อนได้อย่างไร้ร่องรอย
ก่อนจะใช้มือซ้ายของนางเอื้อมไปตบมือขวาที่ไม่เชื่อฟังตั้งแต่แรก ที่ไปลูบคลำไอ้สารเลวนั่นเข้า
แอบด่านิสัยเก่าที่ไม่ดีของตัวเองอยู่ในใจ
โม่ฉีฉีเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าของชายน้ำแข็งอีกครั้ง
ก่อนจะหัวเราะแล้วพูดขึ้น
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ทูลฝ่าบาท นี้เป็นโรคจากการประกอบอาชีพของหม่อมฉัน โปรดอภัยให้ด้วยเพคะ”โม่ฉีฉีเป็นนักโบราณคดีตอนที่อยู่ที่บ้านเก่า
ส่วนใหญ่จะใช้เวลาตลอดทั้งวันอยู่ในสุสานโบราณ เพื่อขุดของเก่าขึ้นมามันทำให้เลือดของนางเดือดเต็มด้วยความตื่นเต้นทุกครั้ง
ตอนนี้มีของแท้อยู่ต่อหน้าต่อดวงตาของนาง แล้วอย่างนี้โม่ฉีฉีจะสามารถกลั้นแรงกระตุ้นที่จะตรวจสอบพวกมันได้อย่างไรกัน
“เรามองเห็นในความบ้าของเจ้า
แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่”เสียงน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจดังขึ้น
ทำให้ทุกคนหวาดกลัวจนแทบไม่กล้าที่จะหายใจแรง
โม่ฉีฉีรีบรีบแสดงออกด้วยความนุ่มนวลพร้อมกับความสง่างามในทันที
“ทูลฝ่าบาท
วันนี้ถือว่าเป็นวันดีของฝ่าบาท หม่อมฉันจึงเป็นผู้นำน้องหญิงทั้งหลายเพื่อมาแสดงความยินดีต่อฝ่าบาทเพคะ
หม่อมฉันของแสดงความยินดีต่อฝ่าบาทเพคะ ขอให้ฝ่าบาทเต็มไปด้วยความสุขสมรื่นเริงเพคะ”ลักษณะของนางเปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน
ทำให้เหล่านางสนมทั้งหลายต่างเต็มไปด้วยความตกตะลึงจ้องมองไปที่นางอย่างว่างเปล่าอยู่ในตอนนี้
จวินเชียนเช่อเองก็ไม่ได้คาดคิดในสิ่งนี้
ก่อนที่เขาจะมองเข้าไปในดวงตาของนางในขณะที่เขาถามขึ้นอย่างเย็นชา
“เจ้ามาแสดงความยินดีอย่างนั้นหรือ”
แล้วโม่ฉีฉีก็พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่ดูจริงใจเหลือเกิน
“ใช่แล้วเพคะฝ่าบาท
หม่อมฉันมาเพื่อแสดงความยินดีด้วยความบริสุทธิ์ใจเพคะ
มาขออวยพรให้ฝ่าบาทและน้องหญิงหยาง ซื่อหวนมีความรักที่ยื่นยาว ขอให้อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า
ขอให้รักใคร่สามัคคี และขอให้มีทายาทในเร็ว....”
“ดี
เช่นนั้นก็ลุกขึ้นเถิด”จวินเชียนเช่อขัดจังหวะนาง ด้วยค่อนข้างหงุดหงิด
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”ขัดจังจังะในขณะที่คนอื่นพูดช่างไม่มีมารยาทจริงๆ
โม่ฉีฉีคิด
ปันเซียงรีบกำลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยพยุงเจ้านายของตัวเองให้ลุกขึ้น
“แคร๊ง”เสียงที่ดังขึ้นทำให้ทุกคนในห้องโถงต่างตกใจไปตามๆ
กัน จากหนึ่งเป็นสองอย่างต่อเนื่องสายตาของพวกเขาต่างมองไปยังกริชที่ตกอยู่บนพื้นในตอนนี้
เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้เหล่านางสนมทั้งหลายต่างก็ยิ้มอย่างอิ่มเอม
โม่ฉีฉีแทบอยากจะตบกะโหลกตัวเอง
นี่นางลืมไปได้อย่างไรกัน นางลืมกริชที่อยู่ในแขนเสื้อของตัวเองได้อย่างไร
การนำอาวุธมีคมเข้ามาพบกับฮ่องเต้เช่นนี้ และต่อหน้าต่อตาเหล่าขุนนางทั้งหลายอีกด้วย
นั่นถือว่าเป็นการเชิญชวนให้ตายมาถึงตัวเสียแล้ว ตอนนี้สมองของนางกำลังทำงานด้วยความเร็วอย่างเต็มพิกัด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น