ห้าวันต่อมา ในพระราชวังตำหนักหงส์
ภายในห้องบรรทมของฮองเฮา สายลมเย็นๆ พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง
ยกผ้าม่านมัสลินสีชมพูให้สะบัดไปมา
บุคคนที่มีลักษณะท่าทางของความเป็นกังวลกำลังยืนอยู่หน้ากระจกทองแดง
ที่แกะสลักไว้ด้วยลายมังกรและหงส์อย่างงดงาม
สามวันหลังจากที่นางได้ลืมตาตื่นขึ้นมา
โม่ฉีฉีแทบไม่อยากจะเชื่อว่านางได้ย้อนเวลากลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง
ชื่อของนางยังคงเหมือนเดิม
แต่บุคคลที่อยู่หน้ากระจกกลับมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป งดงาม ละเอียดอ่อน
ช่างแตกต่างจากใบหน้าที่อ่อนหวานและน่ารักของนางอย่างสิ้นเชิง
นางได้กลับมาเกิดใหม่จริงๆ หรือ ก่อนจะหยิกใบหน้าของตัวเอง
“โอ๊ย!”
“องค์ฮองเฮาพระนางไม่เป็นอะไรใช่ไหมเพคะ”เมื่อเห็นพฤติกรรมที่ผิดปกติของเจ้านายตัวเอง
ปันเซียงก็ร้องขึ้นด้วยความเป็นห่วง
โม่ฉีฉีกำลังจะบ่นออกไป
แต่ใขณะที่นางต้องการที่จะระเบิดเสียงออกไป
นางก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังประสานงาขึ้นมาจากด้านนอก
ในเวลาต่อมา
นางก็มองเห็นกลุ่มของสาวงามที่แต่งตัวสวยงามหรูหราเดินตรงเข้ามาหานาง
พร้อมกับร้องไห้ราวกับนกน้อยผู้น่าสงสาร
โม่ฉีฉีเห็นดังนั้นก็ถามปันเซียงขึ้นทันที
“นี่มันอะไรกัน
มีการประกวดหญิงงามหรือ”เนื่องจากนางไม่ได้รับความทรงจำของร่างนี้
นางจึงไม่รู้จักใครที่นี่เลยแม้แต่คนเดียว
“ทูลฮองเฮาเพคะ
พวกนางเหล่านี้ต่างเป็นพระสนมเพคะ”ปันเซียงเหลือบมองไปที่เจ้านายของนางด้วยความเป็นห่วง
นับตั้งแต่ที่ฮองเฮาตื่นขึ้นมามีหลายสิ่งที่พระนางจำไม่ได้
ราวกับว่าพระนางเป็นคนละคนกัน
โม่ฉีฉียืดอกขึ้น
ก่อนจะมองออกไปยังหญิงงามที่มากมายด้านนอก
ยิ่งพวกนางมองเห็นโม่ฉีฉี
พวกหญิงงามก็ยิ่งร้องไห้ดังมากขึ้นอีก แทบจะพังหลังคาของนางได้อยู่แล้ว
โม่ฉีฉีรู้สึกรำคาญเสียงห้องไห้ของพวกนางเหลือขนาด
แต่ด้วยความเย่อหยิ่งในนามของฮองเฮา นางจึงตำหนิพวกนางออกไปด้วยความโกรธเท่านั้น
“ดีจริงๆ
ดึกขนาดนี้ยังไม่หลับไม่นอนกันอีก แต่มาที่นี่เพื่อมาร่วมไว้อาลัยร้องไห้โอดครวญ
ข้ายังไม่ตายเห็นหรือยัง”
แล้วหญิงงามในชุดสีเหลืองก็พูดขึ้น
“ฮองเฮาเพคะ
มันอาจจะเป็นเพราะพระนางยังไม่ทราบ ฝ่าบาทจะทรงให้จัดงานเลี้ยงขึ้นในพระราชวังตำหนักพิธีการเพคะ
พระองค์ต้องการที่จะหาลือเกี่ยวกับตำแหน่งของแม่นางหยาง
ทำให้แม่นางหยางกลายเป็นกุ้ยเฟยเพคะ
ตอนนี้เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างไปร่วมแสดงความยินดีแล้วเพคะ”
เมื่อโม่ฉีฉีได้ยินเรื่องนี้
นางก็ส่ายหัวอย่างไม่เห็นด้วย
“นี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเกิดขึ้น
แล้วเหตุใดพวกเขาถึงได้ร้องไห้เช่นนี้ ข้าก็นึกว่าใครตายเสียอีก”
แล้วทันทีฝูงชนของนางสนมต่างก็หยุดการร้องไห้ของพวกนางลง
ก่อนจะมองหน้ากันและกัน พวกนางเริ่มกระซิบกระซาบอย่างงงงวยขึ้น
“นี้มันเกิดอะไรขึ้น
โดยปกติแล้ว เมื่อใดก็ตามที่องค์ฮองเฮาได้ยินเกี่ยวกับฝ่าบาทและแม่นางหยาง ซื่อหาน
อยู่ด้วยกัน พระนางจะเต็มไปด้วยความโกรธทันที
วันนี้พระนางได้ยินเรื่องที่ฝ่าบาทต้องการที่จะหาลือเรื่องตำแหน่งของแม่นางหยาง
ซื่อหาน แต่พระนางกลับสงบได้ขนาดนี้
อย่าบอกข้านะว่าพระนางได้กลายเป็นคนโงเง่าที่เกิดขึ้นจากการตกจากที่สูงไปแล้ว”
“เป็นไปได้”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
ตานเซียงเต็มไปด้วยความโกรธ
“หยาง ซื่อหาน
นางผู้หญิงต่ำช้า จริงๆ ก็อยากจะเป็นกุ้ยเฟยจนตัวสั่น”
โม่ฉีฉี
รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้
ทำไมทุกคนถึงได้ต่อต้านหยาง ซื่อหานผู้นี้มากนัก
หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นชายไม่จริงหญิงไม่แท้ หรือว่าอาจจะเป็นผู้ชาย
โม่ฉีฉี จู่ๆ
ก็อยากรู้ถึงการจบชีวิตลงของร่างนี้ขึ้นมา
เป็นเวลาสามวันมาแล้วหลังจากที่นางได้กลับมาเกิดใหม่
แต่นอกเหนือจากการอยู่ในอาการงุนงงในช่วงสามวันที่ผ่านมา
นางก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังหลงทาง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
นางไม่ได้ทำอะไรเลยแม้แต่น้อย หวังว่านี้จะเป็นเพียงแค่ความฝัน และเมื่อนางตื่นขึ้นมา
นางก็จะกลับไปอยู่ในโลกสมัยใหม่ตามเดิม
แต่ตอนนี้มันดูเหมือนกับว่านางจะต้องเผชิญหน้ากับความจริงเสียแล้ว
สิ่งแรกก็คือต้องเคาะแน่นชีวิตที่น่าสงสารชีวิตนี้ของนางเอาไว้ก่อน
จากนั้นค่อยคิดหาวิธีที่จะกลับไป
ก่อนจะเอียงตัวเข้าไปใกล้กับปันเซียง
แล้วถามขึ้นในน้ำเสียงที่ต่ำ
“ปันเซียงให้ข้าถามเจ้าหน่อย
ข้าได้รับบาดเจ็บและหมดสติไปได้อย่างไร”ไม่ใช่เจ้าของร่างนี้เป็นถึงฮองเฮาหรอกหรือ
แล้วใครจะกล้าทำร้ายนางได้
หรือมันอาจจะเป็นเพราะฮ่องเต้ต้องการที่จะแต่งงานกับหยาง ซื่อหาน
ฮ่องเต้จึงได้วางแผนทั้งหมดนี้ขึ้น
ปันเซียงลังเลอยู่เล็กน้อย
เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น
ฮ่องเต้ได้ห้ามไม่ให้มีการกล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั่งนั้น
ดังนั้นนางจึงไม่กล้าที่จะบอกความจริงให้กับฮองเฮาให้ได้รับรู้
นางไม่มีทางเลือก
และด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยวจึงได้พูดออกมา
“ทั้งหมดเป็นเพราะนางผู้หญิงต่ำช้าหยาง
ซื่อหานเป็นผู้ก่อเรื่องเพคะ นางไม่มีอะไรจะทำ
นอกจากไปล่อลวงฝ่าบาททันทีที่นางได้เข้าวังมาเพคะ ทำให้พระองค์หลงใหลในตัวนาง
และทำให้พระนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้นอยู่ตลอดเวลาเพคะ”
“ห้าวันก่อน
พระนางได้มีการพูดคุยกับแม่นางหยางที่หอชมสวนเพคะ แล้วในที่สุด
นางผู้หญิงต่ำช้าผู้นั้นก็ทำให้พระนางโกรธ แล้วทั้งสองก็เริ่มต่อสู้กัน
ผลที่ออกมาก็คือ ทั้งสองคนตกลงมาจากหอชมสวนในเวลาเดียวกันเพคะ ในเวลานั้นฮ่องเต้ได้เสด็จมาถึง
แต่ว่า ..แต่ว่าพระองค์กลับช่วยเหลือนางผู้หญิงต่ำช้าเอาไว้ ส่วนพระนางก็..”
ปันเซียงสูดลมหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่ง
เตรียมความพร้อมในการเปิดกิจการน้ำประปาขึ้น
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น
โม่ฉีฉีก็หยุดปันเซียงเอาไว้ก่อน
“เอาล่ะๆ
ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว”
มันอาจจะเป็นเพราะเจ้าของร่างกายนี้ได้แต่งงานกับคนนิสัยไม่ดี ผู้ชายไร้หัวใจ
นรกชัดๆ ถ้านางสามารถที่จะกลับไปยังบ้านเดิมของนางได้ล่ะก็
สิ่งแรกที่นางจะทำก็คือไปหาผู้ชายไร้หัวใจสักคน แล้วก็อัดมันให้น่วม
แล้วก็เตะผ่าหมากให้หนักๆ จนทำให้มันไม่สามารถที่จะเลื่อนกลับลงมาได้อีกเลยคอยดู
“พระนางอย่าทรงเสียพระทัยไปเลยเพคะ
ฝ่าบาทเพียงแค่ลุ่มหลงอยู่กับนางจิ้งจอกเพียงชั่วคราวเท่านั้น
พระทัยของฝ่าบาทไม่ช้าหรือเร็วก็จะต้องกลับมาหาพระนางเป็นแน่เพคะ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการป้องกันไม่ให้นางสุนัขจิ้งจอกเข้ามาในวังได้นะเพคะ”
นางสนมทั้งหลายต่างรีบตรงเข้ามาปลุกระดมให้โม่ฉีฉีไปสร้างความวุ่นวายทันที
โม่ฉีฉียิ้มด้วยความรังเกียจ
นางสนมพวกนี้ทำราวกับว่านางเป็นคนโง่ ดูเหมือนว่าพวกนางจะใช้ประโยชน์จากเจ้าของร่างคนเก่าไปมากทีเดียว
โม่ฉีฉีเดินไปนั่งลงบนที่ม้านั่งหงส์
มองดูผู้หญิงเหล่านี้ต่างพยายามแย้งชิงความโปรดปรานจากผู้ชายเพียงคนเดียว
นางกับพบว่ามันไร้สาระอย่างที่สุด
ถึงอย่างไรนางก็ได้ครอบครองร่างกายนี้แล้ว
นางจะต้องรู้ว่าสามีนิสัยเสียผู้นี้มีชื่อว่าอะไรเสียก่อน
แล้วโม่ฉีฉีก็เอื้อมมือออกไปเรียกปันเซียงก่อนจะถามขึ้น
“ฮ่องเต้ของเจ้ามีชื่อเรียกว่าอย่างไรหรือ”
ปันเซียงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ต่ำ
“ฝ่าบาทมีพระนามว่า
จุ้นเฉียนเฉิน เพคะ”
“อะไรนะ”โม่ฉีฉีตะโกนขึ้น
ทำให้ปันเซียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
นางสนมทั้งหลายต่างจ้องมองมาที่นางด้วยความตื่นตระหนก
โม่ฉีฉีพูดกับตัวเองขึ้น
“อย่าบอกนะว่าไอ้สวะนั่นก็ข้ามเวลามาเหมือนกับข้า
ดี ยอดเยี่ยมที่สุด ในที่สุดปฏิปักษ์ตัวฉกาจของป้าคนนี้ก็พบเสียที
ดูว่าข้าจะตัดลูกอัณฑะของเขาหรือไม่”
“ปันเซียงไปเตรียมกริชมา”โม่ฉีฉีหรี่ตาคู่สวยของนางลง
รอยยิ้มของนางซ่อนสัมผัสของความโหดร้ายเอาไว้
ปันเซียงเต็มไปด้วยความสับสน
“ฮองเฮาเพคะ
พระนางจะเอากริชไปทำอะไรหรือเพคะ”
“เอาไปหาไอ้สวะนั่น”
ทุกคนต่างมองหน้ากันและกัน
“ไอ้สวะหรือ”พวกนางต่างก็ไม่เข้าใจความหมายของมัน
โม่ฉีฉีอธิบายด้วยความอดทน
“ก็ไปหาฝ่าบาทอย่างไรเล่า”
ดวงตาเหล่านางสนมมีประกายของความสุข
คิดว่าการยั่วยุของพวกนางนั้นได้ผลแล้ว
ปันเซียงพยายามที่จะดับไฟโทของเจ้านายของนางทันที
“ฮองเฮาเพคะ พระนางไม่สามารถพกอาวุธยามเข้าเฝ้าฝ่าบาทได้นะเพคะ”
“หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว
รีบไปเตรียมการไห้ไว”โม่ฉีฉี ตะคอกกลับทันที
นางสนมทั้งหลายรีบเข้าร่วมวง
“พระนางบอกให้เจ้ารีบไปเตรียมการก็จงรีบไปเสีย
เป็นเพียงนางกำนัลไม่ควรจะทำเรื่องไร้สาระให้มากความ”
“จริงด้วย
รีบไปจัดการเสีย”
ปันเซียงถึงกับขวัญหนีดีฝ่อ
ไม่กล้าโต้แย้งกลับไปอีก แล้วก็จากไปเพื่อเตรียมกริชในทันที
เมื่อโม่ฉีฉีได้กริชมาอย่างสมใจแล้ว
นางก็ยิ้มอย่างน่ากลัว ก่อนจะซ่อนมันเอาไว้ในแขนเสื้อ
จากนั้นก็มองไปยังเหล่านางสนมทั้งหลายก่อนจะพูดขึ้น
“ตามพี่สาวมา
ส่วนเจ้านำทางไป ข้าจะไปหาฮ่องเต้”
ไม่ใช่ว่าผู้หญิงพระราชวังจะต้องนำเอาดอกไม้สองดอกไปเพื่อเป็นของขวัญในการแสดงความยินดีหรอกหรือ
อ่า ลืมไปมันเถอะ ไหนๆ นางก็พึ่งจะมาที่นี่
นางไม่ควรทำจะทำอะไรที่มันเอะอะใหญ่โตจนเกินไป
ตอนแรกมาแล้วค่ะ
ขอบคุณกำลังและคอมเม้นท์ค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น